為什麼區塊鏈正在改變數位金融行業?從比特幣到去中心化金融(DeFi)

บล็อกเชนนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ยังสับสนว่ามันทำงานยังไง ทำไมถึงสำคัญ และใช้ได้ในอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นตอน

บล็อกเชน (Blockchain) คือระบบที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

ถ้าพูดง่าย ๆ บล็อกเชน คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราส่งข้อมูลและค่าเงินจากคนหนึ่งไปคนอื่นโดยไม่ต้องผ่านธนาคารหรือตัวกลางใดเลย ทั้ง ๆ ที่เรามั่นใจว่ามันปลอดภัยและถูกต้อง

ชื่อ “บล็อกเชน” มาจากกลไกของมัน—ข้อมูลถูกเก็บไว้ในบล็อก (Block) ซึ่งเรียงต่อกันเป็นสายยาว (Chain) อย่างมีระเบียบ บล็อกแต่ละอันเชื่อมต่อกับอันที่มาก่อนด้วย “รหัสแฮช” (Hash) ที่เป็นลายนิ้วมือเฉพาะตัว

งานมหาศาล 3 ประการที่ทำให้บล็อกเชนเสถียร

1. ลายนิ้วมือของแต่ละบล็อก (Hash Code)

เมื่อบล็อกเกิดขึ้น มันจะมี Hash เป็นตัวตนของมัน Hash นี้ประกอบด้วย 3 ส่วน:

  • ข้อมูล (Data): ที่เก็บไว้ในบล็อก เช่น ธุรกรรม Bitcoin ที่บอกว่าใครส่งให้ใครเท่าไหร่
  • Hash เฉพาะตัว: ทำหน้าที่เป็นรหัสประจำตัว ไม่มีบล็อกสองอันที่มี Hash เหมือนกัน
  • Hash ของบล็อกก่อนหน้า: สร้างห่วงโซ่ให้มั่นคง

ตัวอย่าง: ถ้าบล็อกที่ 1 ส่ง 5 BTC จากกอล์ฟให้ปู Hash คือ A24 บล็อกที่ 2 ก็ต้องเรียกอ้างถึง A24 ถ้าใครพยายามแก้ไขบล็อกที่ 1 Hash ก็เปลี่ยน ทำให้บล็อก 2 และต่อ ๆ ไปใช้ไม่ได้ทันที

2. การตกลงกันของเครือข่าย (Consensus Mechanism)

นอกจากการเชื่อมโยง Hash แล้ว ยังมีชั้นความปลอดภัยที่สอง—ระบบ Consensus เช่น Bitcoin ใช้ “Proof-of-Work (PoW)” ที่ต้องใช้เวลาราว 10 นาที เพื่อแก้รหัสซับซ้อนและเพิ่มบล็อกใหม่

ถ้าแฮกเกอร์อยากแก้ไขระบบ เขาต้องเปลี่ยน Hash ในบล็อกทั้งหมดก่อนที่บล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้ามา แต่ Bitcoin มีบล็อกพันนับแสน ทำให้วิธีการนี้แทบเป็นไปไม่ได้

3. เครือข่าย Peer-to-Peer ที่ไม่มีใคร “ควบคุม”

บล็อกเชนไม่มีตัวกลางเพียงตัวเดียว—ทุกคนที่ติดตั้งโปรแกรมจะกลายเป็น “โหนด (Node)” ที่เก็บสำเนาทั้งหมดและตรวจสอบธุรกรรมด้วย

เมื่อบล็อกใหม่ถูกสร้าง:

  1. ส่งไปให้ทุกโหนดในเครือข่าย
  2. แต่ละโหนดตรวจสอบและยืนยัน
  3. เมื่อเสียงส่วนใหญ่ยินยอม บล็อกจึงจะถูกเพิ่มเข้าสู่สาย

หากใครต้องการควบคุมระบบ ต้องควบคุมโหนดมากกว่า 51% ในเวลาอันสั้น—เรื่องนี้ในทางปฏิบัติทำได้ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้

เครือข่ายบล็อกเชนมีหลากหลายประเภท

บล็อกเชนไม่ได้มีแค่ 1 แบบ มี 4 ประเภทหลัก:

1. สาธารณะ (Public): เปิดให้ทุกคน

ตัวอย่าง: Bitcoin, Ethereum, Solana ไม่ต้องขออนุญาต ทุกคนเข้าร่วม ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมในการยืนยันธุรกรรมได้ ช่วยสร้างความโปร่งใสแต่ความเร็วอาจช้าเพราะต้องลุ้นทำธุรกรรมให้สำเร็จ

2. ส่วนตัว (Private): ควบคุมแบบปิด

ตัวอย่าง: Hyperledger Fabric ควบคุมโดยองค์กรเดียว เฉพาะสมาชิกที่ได้อนุญาตเท่านั้นที่อ่าน เขียน หรือตรวจสอบได้ เร็วและปลอดภัยแต่มีความเสี่ยงจากการควบคุมจากส่วนกลาง

3. ไฮบริด (Hybrid): ผสมผสาน

ตัวอย่าง: XinFin เก็บข้อมูลสำคัญเป็นส่วนตัว ส่วนอื่นเปิดให้ตรวจสอบได้ ต้องจัดการ ที่ซับซ้อนกว่าแต่ทำให้สมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส

4. คอนซอร์เชียม (Consortium): ร่วมกันควบคุม

ตัวอย่าง: Corda ของ R3 หลาย ๆ องค์กรมาร่วมกันควบคุม ลดความเสี่ยงและต้นทุน แต่ต้องการการประสานงานที่ซับซ้อน

จุดแข็งที่ทำให้บล็อกเชนพิเศษ

ความปลอดภัยระดับสูง: ข้อมูลที่เก็บไว้ในบล็อกแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยน ลบ หรือแก้ไขได้อีกเลย

ความโปร่งใส: ไม่มีใครสามารถควบคุมได้เพียงลำพัง ทุกคนสามารถตรวจสอบได้

ประหยัดต้นทุน: ไม่ต้องจ่ายค่ากลาง เพียงค่าธรรมเนียมธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม

ตรวจสอบย้อนกลับได้: ติดตามประวัติข้อมูลจากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

ประสิทธิภาพ: ตัดข้อผิดพลาดของมนุษย์ได้ทั้งหมด ทำให้ระบบรวดเร็วและแม่นยำ

เรื่องยากของบล็อกเชนที่ยังแก้ไม่ได้

ปัญหาขนาดความจุ (Scalability): ระบบบล็อกเชนปัจจุบันยังรองรับธุรกรรมจำนวนมากพร้อม ๆ กันไม่ได้ดี แต่กำลังพัฒนาแก้ไขอยู่

แฮ็กในทางทฤษฎี: ถ้าควบคุมผู้ใช้เกิน 51% ตามทฤษฎีจะควบคุมระบบได้ แต่ในความเป็นจริงยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้

กินไฟมาก: ระบบต้องใช้พลังงานจำนวนมาก โดยเฉพาะวิธี Proof-of-Work

ยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจัง: องค์กรที่เก่าแก่ เช่น ธนาคารและหน่วยงานราชการ ยังลังเลที่จะรับรองเทคโนโลยีนี้

บล็อกเชนใช้ได้ที่ไหนบ้าง

ธุรกรรมการเงินดิจิทัล

ตั้งแต่ Bitcoin ไปจนถึง DeFi ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของเทคโนโลยีนี้ เช่น โครงการบาทดิจิทัลของธนาคารกลางไทย หรือ JFIN ของ JMART ที่ใช้สร้าง Credit Score

ห่วงโซ่อุปทาน

IBM ได้สร้าง Food Trust Blockchain เพื่อให้ผู้บริโภคตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ อื่น ๆ เช่น การนำเข้าสินค้า ลูกค้าสามารถตรวจสอบที่มายอนหลังได้แม่นยำและไม่สามารถปลอมแปลงได้

ระบบการโหวต

บล็อกเชนป้องกันการโกงการโหวตได้ เพราะการเข้าไปแก้ไขผลแทบเป็นไปไม่ได้ และให้ความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบกระบวนการได้ เร็วและประหยัดกว่ากระบวนการตรวจสอบดั้งเดิมที่ต้องใช้คนจำนวนมาก

สรุป

บล็อกเชน คือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลและส่งมูลค่า มันออกแบบมาให้ปลอดภัย โปร่งใส และไม่ขึ้นต่อตัวกลาง แม้จะยังมีข้อจำกัด แต่การพัฒนาต่อเนื่องของเทคโนโลยี บล็อกเชน แสดงว่ามันเป็นเรื่องจริงที่หลายอุตสาหกรรมกำลังมองหา เข้ามาเท่านี้ ทุกคนน่าจะเข้าใจว่า บล็อกเชน ทำงานอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไรแล้ว

BTC1.52%
ETH1.82%
SOL1.87%
查看原文
此頁面可能包含第三方內容,僅供參考(非陳述或保證),不應被視為 Gate 認可其觀點表述,也不得被視為財務或專業建議。詳見聲明
  • 讚賞
  • 留言
  • 轉發
  • 分享
留言
0/400
暫無留言
交易,隨時隨地
qrCode
掃碼下載 Gate App
社群列表
繁體中文
  • 简体中文
  • English
  • Tiếng Việt
  • 繁體中文
  • Español
  • Русский
  • Français (Afrique)
  • Português (Portugal)
  • Bahasa Indonesia
  • 日本語
  • بالعربية
  • Українська
  • Português (Brasil)