Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
O ouro vai realmente atingir os 4.000 dólares? A quebra do nível psicológico e os sinais subsequentes
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้พลิกตัวเกมของตลาดทองคำอย่างสิ้นเชิง เมื่อแท่งโลหะมีค่าไม่เพียงแต่ทะลุเกณฑ์ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่นักวิเคราะห์หลายคนคิดว่าจะเป็นจุดต้านทานแข็งแกร่ง แต่ยังไปถึง 4,181 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 เลยทีเดียว
สำหรับผู้ลงทุนที่ถือครองทองคำมาช้านาน นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมานาน แต่สำหรับคนที่ยังตั้งใจหรือลังเลใจ คำถามที่เกิดขึ้นเองก็คือ: ทองจะขึ้นถึง 4,000 ดอลลาร์ได้จริงหรือ และหากได้แล้ว จะยังสามารถเพิ่มขึ้นต่อไปได้อีกหรือไม่?
ตัวเลขที่พูดมากกว่าคำพูด: ทองคำทั่วโลกเทียบกับตลาดไทย
ความจริงเล่าเรียนได้จากปริมาณ ภายในเพียง 7 เดือนของปี 2568 ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นจาก 3,000 ดอลลาร์สู่ 4,000 ดอลลาร์ ซึ่งเร็วกว่าการขยับจาก 2,000 ดอลลาร์ไปยัง 3,000 ดอลลาร์ ที่ใช้เวลา 14 เดือน หนึ่งปีต้นปี 2568 ราคาทองขยับเพิ่มขึ้นกว่า 66% โดยไม่ชะลอตัว สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าแรงซื้อไม่ใช่เพียงแค่ความสนใจทั่วไป แต่เป็นการไหลเข้าของเงินจำนวนมากจากผู้เล่นเชิงสถาบัน
ในประเทศไทย ราคาทองแท่ง 96.5% ได้ปรับตัวพุ่งผ่านระดับ 62,000 บาท แนะนำที่เคยตั้งไว้ที่ 55,000 บาทถูกทำให้เป็นประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญต้องรีเซ็ตมุมมองใหม่หลังจากเห็นการเคลื่อนไหวที่ปีนี้เกินกว่าตัวเลขในลิ้นชัก
ฉันเห็นแนวโน้มจากหน้าต่างที่ต่างออกไป: มุมมองของวอลล์สตรีทกับสถาบันสากล
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ล้วนแต่ยกระดับการคาดการณ์ของตนหลังจากเห็นพฤติกรรมตลาด Goldman Sachs เพิ่มเป้าหมายจาก 4,300 ดอลลาร์ไปเป็น 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์สำหรับปลายปี 2569 โดยนักวิเคราะห์ Lina Thomas ระบุว่าแรงผลักดันมาจากความต้องการที่มากมายของธนาคารกลาง และความเชื่อในทองคำในฐานะหลักประกัน
UBS มีมุมมองคล้ายกัน ผู้บริหารคนหนึ่งชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์เก็บทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกนั้นไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ปีเดียวในปี 2567 ธนาคารกลางรวมตัวเข้าซื้อทองคำสุทธิ 1,200 ตัน พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนการตัดขาดจากการพึ่งพาดอลลาร์เพียงอย่างเดียว
หากตั้งสมการให้มันง่ายขึ้น: ถ้า Goldman Sachs พูดถูก ราคาทองไทยจะเข้าไปในเขต 75,000-80,000 บาทในปี 2569 นี่ไม่ใช่เพียงการเดาเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนความเป็นจริงจากการกระทำของสถาบันกลางทั่วโลก
สิ่งที่ปั่นเครื่องจักรทองคำ: 4 แรงหนุนที่ไม่สามารถมองข้ามได้
แรงที่หนึ่ง: ความขัดแย้งเชิงการค้าระหว่างมหาอำนาจ
สัญญาณล่าสุดจากวอชิงตันและปักกิ่งบ่งชี้ว่าสงครามการค้าไม่ใช่การพูดขวัญแบบว่าว่า แต่กำลังจะขึ้นเป็นการทำสงครามในระดับที่มีนัยสำคัญจริง ประธานาธิบดีประกาศแผนจะมีอัตราภาษีนำเข้า 100% สำหรับสินค้าจำนวนมากจากจีน ความตึงเครียดนี้สร้างความเสี่ยงระบบต่อระบบเศรษฐกิจโลก นักลงทุนจึงหันมาทำให้ตัวเองปลอดภัยด้วยการซื้อทองคำ
แรงที่สอง: การผ่อนหลวงของนโยบายดอกเบี้ย
เฟดฯ ได้เริ่มวงจรลดอัตราดอกเบี้ย ลดลงแล้ว 0.25% เมื่อเดือนกันยายน 2568 และตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดเพิ่มเติมในเดือนต่อๆ ไป เมื่อดอกเบี้ยลดลง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และทองคำ ซึ่งมีต้นทุนการถือครองไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและอัตราดอกเบี้ยเป็นกฎเกณฑ์คงที่ในตลาด
แรงที่สาม: การสะสมเสพลธานาคารกลาง
นี่คือจุดศูนย์กลางของเรื่องราว ธนาคารกลางจากประเทศเกิดใหม่และพัฒนา ได้ต่อเนื่องเข้าซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี เป็นระยะ 3 ปีติดต่อกัน ระดับสำรองทองคำทั่วโลกยืนหยัดอยู่ที่ 36,699 ตัน สูงสุดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากสหรัฐฯ อายัดสัญชาติทรัพย์สินของรัสเซียในปี 2022 หลายประเทศลำบากใจกับการพึ่งพาเงินดอลลาร์มากเกินไป เพราะฉะนั้นทองคำจึงกลายเป็นอักษรสัญญาความปลอดภัย
แรงที่สี่: บริวารสกุลเงินใหม่จาก BRICS
กลุ่มประเทศ BRICS อยู่ระหว่างร่างสกุลเงินดิจิทัลที่มีทองคำหนุนหลัง วิธีการดังกล่าวเป็นการท้าทายโครงสร้างอำนาจทางการเงินที่ดอลลาร์ครอบงำ ถ้าโครงการลุกขึ้นมา ความต้องการทองคำจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อสนับสนุนสกุลเงินใหม่นี้
ปัญหาร้ายแรง: ช่องโหว่ในราคา
แม้ว่าแนวทางขาขึ้นจะพูดให้ชัดเจน แต่ก็มีปัจจัยที่สามารถปลิดไฟความหวังได้อย่างรวดเร็ว
หากสหรัฐฯ และจีนนั่งลงเจรจาภาษีและหาข้อตกลง ความตึงเครียดทางการค้าจะคลายตัว ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องหนีไปที่ทองคำ นอกจากนี้ หลังจากที่ราคาขึ้นแบบรวดเร็ว 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ความปรารถนาของนักลงทุนที่จะทำกำไรอาจเกิดขึ้น ถ้าดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทองคำก็จะทนทดโทษ
การอ่านกราฟหนึ่งพันคำสามารถทำได้ด้วยเส้น 4 เส้น
จากการไล่ดูแผนภูมิปัจจุบัน ดัชนี RSI ของทองคำบ่งชี้ว่ามีการซื้อมากเกินไป (Overbought) อย่างไรก็ตาม ในเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่ง สภาวะที่เหมือนนี้อาจทำให้ราคายืนหยัดอยู่ในระดับสูงได้นาน
รูปแบบแท่งเทียน Shooting Star ปรากฏบนกราฟ โดยทั่วไปแล้ว นี่คือสัญญาณการกลับตัวในระยะสั้น แต่เนื่องจากแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้นที่มั่นคง การปรับตัวลงจึงมีแนวโน้มว่าจะเป็นเพียงจุดพักที่ชั่วคราวเท่านั้น
ทฤษฎี 3 เฟสของเทรนด์บ่งชี้ว่าตลาดยังคงอยู่ในเฟส Public Participation ที่ราคาเริ่มหวนกลับมาทำให้ผู้หลากหลายเข้ามาซื้อ นี่คือจุดที่นักลงทุนกำลังเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
วิธีการเทรดเพื่อจับโอกาสสูงสุด
กลยุทธ์การเข้าจุด “ซื้อเมื่อราคาถูกลง”
ราคาขึ้นมาเร็วเกินไป อย่างแน่นอนว่าจะมีการพักฐาน รอให้ราคาลงมาที่แนวรับแรกบริเวณ 3,859 ดอลลาร์ (เปิดเดือนตุลาคม) หรือแนวรับที่ 3,782 ดอลลาร์ จากนั้นเข้าซื้อ ตั้งจุดตัดขาดทุนใต้แนวรับสำคัญที่ 3,750 ดอลลาร์ เป้าธุรกิจไปที่จุดสูงสุดเดิมหรือแนวต้านถัดไป 4,100 ดอลลาร์
กลยุทธ์ “ทดลองแนวดิน”
ราคาเพิ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ อาจจะย้อนกลับมาทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าแนวดินใหม่นี้เป็นหลักฐานที่แข็ง รอให้ราคากลับขึ้นจากแนวรับ 3,980-4,000 ด้วยปริมาณซื้อขายสูง แล้วถึงขณะนั้นให้เข้าซื้อ
กลยุทธ์ “Fibonacci ช่วยเทพ”
ลากเส้น Fibonacci จากจุดต่ำ (ประมาณ 3,500 ดอลลาร์) ไปยังจุดสูง (4,059 ดอลลาร์) มองหาการซื้อที่ระดับ 38.2% หรือ 61.8% เมื่อราคาจังหวะยอมให้ลดลงมา
บันทึกสรุป: ทองจะขึ้นถึง 4,000 ดอลลาร์ได้แล้ว แล้วหลังจากนี้?
ความจริงของสถานการณ์คือ ทองไม่เพียงแต่ทะลุ 4,000 ดอลลาร์แล้ว แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะพุ่งไปที่ 4,900 ดอลลาร์ ถ้าสัญญาณจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่เป็นจริง
แต่ “ถ้า” คือสำคัญ ตลาดสามารถพลิกตัวได้ถ้าความขัดแย้งทางการค้าผ่านไป หรือถ้า Fed ต้องกลับไปยกอัตราดอกเบี้ยใหม่ วิธีการปฐมศึกษาของสมาร์ทนักลงทุนจึงคือการจับจังหวะ ไม่เร่งรีบเข้า และเตรียมจิตใจว่าระหว่างทางเส้นราคาอาจลูกลังกี้ได้บ้าง แต่เทรนด์ใหญ่ยังเอนไปด้านขาขึ้นต่อไป