วอร์เรน บัฟเฟตต์ เทพมังกรด้านการลงทุน ตั้งคำถามใหญ่กับตัวชี้วัดทางการเงินอย่าง EBITDA หากจะกล่าวง่าย ๆ คำวิจารณ์ของเขาคือ: ตัวเลขนี้ไม่ได้เล่าเรื่องจริงๆ ของบริษัทเลย
แต่ทำไมสถาบันลงทุนหลายแห่ง ยังคงดูค่า EBITDA อย่างใกล้ชิด? คำตอบอยู่ในการเข้าใจสิ่งที่มันพยายามบอกเรา และหลักเหตุผลเบื้องหลังการใช้งาน
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization ซึ่งแปลตรงตัวคือ “กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย”
ในทางปฏิบัติ EBITDA นั้นคือการบริหารตัวเลขเพื่อแสดง “เงินสดที่ธุรกิจสร้างได้จากการดำเนินการหลัก” โดยไม่ยุ่งกับเรื่องการเงิน นโยบายภาษี และสินทรัพย์ที่ใช้งาน
บริษัทที่มักเน้นตัวเลข EBITDA ได้แก่ Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เพราะธุรกิจเหล่านี้ยังคงขาดทุนในระดับ Net Income แต่ EBITDA ของพวกเขาสวยงาม
สูตรพื้นฐานมี 2 แบบ:
วิธีที่ 1: EBITDA = กำไรก่อนภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
วิธีที่ 2: EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
หากเราหยิบข้อมูลจากงบการเงิน:
การคำนวณ: EBITDA = 5,997,820,107 + 2,831,397 + 1,207,201,652 + 8,860,374 = 7,216,713,530 บาท
ตัวเลขนี้สูงกว่า Net Income มาก เพราะมันไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของการจัดการทุนที่อ่อนแอ
ส่วนใหญ่บริษัทไม่ได้เขียน EBITDA ไว้โดยชัดแจ้งในงบการเงินปกติ แต่บางแห่ง เช่น MINOR INTERNATIONAL จะแสดงไว้ในรายงานประจำปี
ถ้าหากไม่เห็นในรายงาน ไม่ต้องห่วง คุณสามารถคำนวณเองจากตัวเลขพื้นฐานที่อยู่ในงบการเงินได้ทั้งหมด
EBITDA มีประโยชน์ในบริบทเฉพาะเจาะจง:
จุดที่ EBITDA ใช้ได้:
ข้อจำกัด:
สูตร: EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้รวม) × 100
มาตรฐานที่ดี: มากกว่า 10% ถือว่าเพียงพอ ยิ่งสูงยิ่งบ่งบอกว่าบริษัทบริหารจัดการได้เก่งและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
ความแตกต่างหลัก: EBITDA เหมือนเป็นการ “ลบหนี้” บางอย่างเพื่อแสดงภาพที่ดีกว่า ขณะที่ Operating Income นั้นค่อนข้างจริงตัวมากกว่า
การบวกค่าเสื่อมราคากลับเข้าไปสามารถเป็นเครื่องมือปรับตัวเลขให้ดูสวย ๆ ได้ บริษัทบางแห่งใช้สิ่งนี้เพื่อโปรแกรมการนำเสนอที่ดีแล้ว
บริษัทอาจมีหนี้พูบโพล่ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ EBITDA ยังคงดูสูงไม่ร้องขอ ทำให้นักลงทุนมองข้ามสัญญาณอันตราย
เนื่องจาก EBITDA ไม่นับสิ่งต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มันจึงไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทมีเงินสดจริง ๆ เหลือเท่าไหร่ นี่คือจุดที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่พอใจมากที่สุด
EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด
ใช้เป็นตัวบ่งชี้เสริมในการเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือวิเคราะห์ระยะสั้น แต่อย่าไว้ใจมากเกินไป
นักลงทุนที่ฉลาด (และนักลงทุนสุดยอดอย่าง Warren Buffett) จะดู EBITDA ควบคู่กับ Cash Flow, Net Income, และปัจจัยอื่น ๆ ก่อนทำการตัดสินใจ เพราะในที่สุดแล้ว เงินสดที่แท้จริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
102.45K 人気度
51.18K 人気度
28.79K 人気度
9.55K 人気度
5.28K 人気度
EBITDAはすべてではない:なぜバフェットは気にしないのか、しかし投資家は知る必要があるのか?
เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์พูดถึง EBITDA
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เทพมังกรด้านการลงทุน ตั้งคำถามใหญ่กับตัวชี้วัดทางการเงินอย่าง EBITDA หากจะกล่าวง่าย ๆ คำวิจารณ์ของเขาคือ: ตัวเลขนี้ไม่ได้เล่าเรื่องจริงๆ ของบริษัทเลย
แต่ทำไมสถาบันลงทุนหลายแห่ง ยังคงดูค่า EBITDA อย่างใกล้ชิด? คำตอบอยู่ในการเข้าใจสิ่งที่มันพยายามบอกเรา และหลักเหตุผลเบื้องหลังการใช้งาน
EBITDA คืออะไร: ความหมายและบริบท
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization ซึ่งแปลตรงตัวคือ “กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย”
ในทางปฏิบัติ EBITDA นั้นคือการบริหารตัวเลขเพื่อแสดง “เงินสดที่ธุรกิจสร้างได้จากการดำเนินการหลัก” โดยไม่ยุ่งกับเรื่องการเงิน นโยบายภาษี และสินทรัพย์ที่ใช้งาน
บริษัทที่มักเน้นตัวเลข EBITDA ได้แก่ Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เพราะธุรกิจเหล่านี้ยังคงขาดทุนในระดับ Net Income แต่ EBITDA ของพวกเขาสวยงาม
วิธีคำนวณ EBITDA: จากสูตรไปถึงตัวเลขจริง
สูตรพื้นฐานมี 2 แบบ:
วิธีที่ 1: EBITDA = กำไรก่อนภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
วิธีที่ 2: EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่างการคำนวณ: บริษัท THAI PRESIDENT FOODS (ปี 2563)
หากเราหยิบข้อมูลจากงบการเงิน:
การคำนวณ: EBITDA = 5,997,820,107 + 2,831,397 + 1,207,201,652 + 8,860,374 = 7,216,713,530 บาท
ตัวเลขนี้สูงกว่า Net Income มาก เพราะมันไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของการจัดการทุนที่อ่อนแอ
ตำแหน่ง EBITDA ในงบการเงิน: ค้นหาตัวเลขในที่ใด
ส่วนใหญ่บริษัทไม่ได้เขียน EBITDA ไว้โดยชัดแจ้งในงบการเงินปกติ แต่บางแห่ง เช่น MINOR INTERNATIONAL จะแสดงไว้ในรายงานประจำปี
ถ้าหากไม่เห็นในรายงาน ไม่ต้องห่วง คุณสามารถคำนวณเองจากตัวเลขพื้นฐานที่อยู่ในงบการเงินได้ทั้งหมด
การใช้ EBITDA ในการตัดสินใจลงทุน
EBITDA มีประโยชน์ในบริบทเฉพาะเจาะจง:
จุดที่ EBITDA ใช้ได้:
ข้อจำกัด:
EBITDA Margin: ตัวเลขดีเพียงไหน?
สูตร: EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้รวม) × 100
มาตรฐานที่ดี: มากกว่า 10% ถือว่าเพียงพอ ยิ่งสูงยิ่งบ่งบอกว่าบริษัทบริหารจัดการได้เก่งและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
EBITDA vs Operating Income: ความแตกต่างที่ลึกลงไป
ความแตกต่างหลัก: EBITDA เหมือนเป็นการ “ลบหนี้” บางอย่างเพื่อแสดงภาพที่ดีกว่า ขณะที่ Operating Income นั้นค่อนข้างจริงตัวมากกว่า
ข้อเตือนที่นักลงทุนต้องรู้
1. EBITDA สามารถเป็นตัวเลขที่ถูกปรับแต่ง
การบวกค่าเสื่อมราคากลับเข้าไปสามารถเป็นเครื่องมือปรับตัวเลขให้ดูสวย ๆ ได้ บริษัทบางแห่งใช้สิ่งนี้เพื่อโปรแกรมการนำเสนอที่ดีแล้ว
2. อาจซ่อนปัญหาที่แท้จริง
บริษัทอาจมีหนี้พูบโพล่ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ EBITDA ยังคงดูสูงไม่ร้องขอ ทำให้นักลงทุนมองข้ามสัญญาณอันตราย
3. ไม่ได้บอกเรื่องสภาพคล่องจริง ๆ
เนื่องจาก EBITDA ไม่นับสิ่งต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มันจึงไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทมีเงินสดจริง ๆ เหลือเท่าไหร่ นี่คือจุดที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่พอใจมากที่สุด
สรุป: EBITDA ควรใช้อย่างไร
EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด
ใช้เป็นตัวบ่งชี้เสริมในการเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือวิเคราะห์ระยะสั้น แต่อย่าไว้ใจมากเกินไป
นักลงทุนที่ฉลาด (และนักลงทุนสุดยอดอย่าง Warren Buffett) จะดู EBITDA ควบคู่กับ Cash Flow, Net Income, และปัจจัยอื่น ๆ ก่อนทำการตัดสินใจ เพราะในที่สุดแล้ว เงินสดที่แท้จริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด