## อุปสงค์ หมายถึงอะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อการวิเคราะห์ตลาดในวิชาเศรษฐศาสตร์ **อุปสงค์ หมายถึง** ความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ เมื่อนำข้อมูลนี้มาพล็อตในแผนภูมิ จะได้เส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณ เรียกว่า เส้นอุปสงค์**ลักษณะที่สำคัญของอุปสงค์:**- แต่ละจุดบนเส้นอุปสงค์บอกถึงปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในราคาที่กำหนด- แสดงราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยอมจ่ายเพื่อให้ได้สินค้าในปริมาณหนึ่ง ๆ- ปฏิบัติตามกฎหลักโดยมีความสัมพันธ์ผกผันกับราคา หมายความว่า เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้น ปริมาณความต้องการจะลดลง## เหตุใดราคาและอุปสงค์จึงมีความสัมพันธ์ผกผันเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง มีสองกลไกที่ทำให้ความต้องการซื้อเปลี่ยนไปด้วย**ผลทางรายได้ (Income Effect):** เมื่อราคาลดลง ผู้บริโภคจึงมีเงินเหลือมากขึ้นจากการซื้อสินค้า ส่งให้สามารถซื้อสินค้าได้มากกว่าเดิม**ผลทางการทดแทน (Substitution Effect):** เมื่อราคาสินค้าลดลง มันจึงดูดีกว่าสินค้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน ทำให้ผู้คนเปลี่ยนจากสินค้าอื่นมาซื้อสินค้านี้## ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุปสงค์นอกจากราคาแล้ว ปัจจัยต่างไปนี้ก็ส่งผลต่อความต้องการซื้อ:- **รายได้ของผู้บริโภค** - เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ความต้องการสินค้าโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตาม- **รสนิยมและความชอบ** - การเปลี่ยนแปลงรสนิยมสามารถเปลี่ยนความต้องการได้อย่างมีนัยสำคัญ- **จำนวนผู้ซื้ออยู่ในตลาด** - ยิ่งมีผู้คนในตลาดมากเท่าไหร่ อุปสงค์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น- **การคาดคะเนราคาอนาคต** - หากผู้คนคิดว่าราคาจะสูงขึ้นในอนาคต พวกเขาอาจตัดสินใจซื้อเพิ่มเติมวันนี้- **ฤดูกาล** - สินค้าบางอย่างมีความต้องการสูงในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ร่มในฤดูฝน- **สภาพเศรษฐกิจ** - ในช่วงเศรษฐกิจดี ผู้คนมีความเชื่อมั่นและใช้จ่ายมากขึ้น## อุปทาน (Supply): ด้านตรงกันข้าม**อุปทาน หมายถึง** ความต้องการขายสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ เมื่อนำมาพล็อตจะได้เส้นอุปทาน ซึ่งสะท้อนปริมาณสินค้าที่ผู้ขายเต็มใจเสนอขาย**ลักษณะที่สำคัญของอุปทาน:**- แต่ละจุดบนเส้นอุปทานบอกถึงปริมาณสินค้าที่ผู้ขายต้องการเสนอขายในราคาที่กำหนด- แสดงราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยอมรับเพื่อขายสินค้าในปริมาณที่ต้องการ- มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับราคา เมื่อราคาเพิ่มสูง ปริมาณที่ผู้ขายยินดีเสนอก็เพิ่มขึ้นตาม## กฎของอุปทาน: ทำไมผู้ขายจึงมักมี "ความต้องการขายที่เพิ่มขึ้น" เมื่อราคาสูงขึ้นเหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน - ราคาที่สูงขึ้นหมายถึงกำไรที่มากขึ้น ผู้ผลิตจึงเต็มใจที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต และผู้ขายเพิ่มเติมก็เข้ามาในตลาดในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาต่ำลง ผู้ผลิตบางรายอาจตัดสินใจลดปริมาณการผลิต หรือออกจากตลาดทั้งหมด## ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุปทาน- **ต้นทุนการผลิต** - หากต้นทุนเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตจะต้องเพิ่มราคา หรือลดปริมาณการผลิต- **เทคโนโลยี** - เทคโนโลยีใหม่มักทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และอุปทานเพิ่มขึ้น- **จำนวนผู้ผลิต** - ยิ่งมีผู้ผลิตมากขึ้นในตลาด อุปทานก็จะมากขึ้น- **การคาดคะเนราคาในอนาคต** - หากผู้ผลิตคิดว่าราคาจะลดลง พวกเขาอาจตัดสินใจขายออกมาเร็ว ๆ- **สภาพภูมิอากาศและสภาวะธรรมชาติ** - สิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการผลิตสินค้าเกษตร- **นโยบายภาษีและการควบคุมราคา** - สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อต้นทุนและความสามารถในการผลิต## ดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium): เมื่ออุปสงค์และอุปทานมาบรรจบกันราคาจริงที่เกิดขึ้นในตลาดไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์เพียงอย่างเดียว หรืออุปทานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นที่จุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน เรียกว่า **ดุลยภาพ****ที่จุดดุลยภาพนี้:**- ปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการซื้อเท่ากับปริมาณที่ผู้ขายต้องการขาย- ไม่มีสินค้าเหลือ และไม่มีการขาดแคลน- ราคามีแนวโน้มจะสถิตที่นี่จนกว่ามีปัจจัยใหม่เข้ามา## ทำไมตลาดจึงทำงานเพื่อกลับสู่จุดดุลยภาพ**หากราคาเพิ่มสูงจากดุลยภาพ:**- ผู้ขายต้องการขายมากขึ้น แต่ผู้บริโภคต้องการซื้อน้อยลง- เกิดการเก็บคลังสินค้า ส่งผลให้ผู้ขายปรับลดราคา- ราคากลับเข้าหาจุดดุลยภาพ**หากราคาลดลงจากดุลยภาพ:**- ผู้บริโภคต้องการซื้อมากขึ้น แต่ผู้ขายต้องการขายน้อยลง- เกิดการขาดแคลนสินค้า ส่งผลให้ผู้ขายปรับเพิ่มราคา- ราคากลับเข้าหาจุดดุลยภาพ## การประยุกต์ใช้หลักอุปสงค์ และอุปทาน ในตลาดการเงินหุ้นถือเป็นสินค้า ดังนั้นหลักการอุปสงค์และอุปทานจึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้นได้### อุปสงค์และอุปทาน ในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานจากมุมมองการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ราคาหุ้นมักสะท้อนความคาดหวังเกี่ยวกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท- **เมื่อข่าวดี:** นักลงทุนมีความเชื่อมั่น ความต้องการซื้อหุ้น (อุปสงค์) เพิ่มขึ้น ผู้ขายยอมรับราคาที่สูงขึ้น ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น- **เมื่อข่าวร้าย:** ความเชื่อมั่นลดลง ผู้บริโภคหมายถึงผู้ซื้อหุ้นเริ่มลดการซื้อออกไป ผู้ขายมากมายเข้ามา ส่งผลให้ราคาปรับลง### อุปสงค์และอุปทาน ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคนักเทรดใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทาน:**1) การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candle Analysis):**- **แท่งเทียนสีเขียว:** ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงว่าอุปสงค์แข็งแรง- **แท่งเทียนสีแดง:** ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงว่าอุปทานแข็งแรง- **โดจิ:** ราคาเปิดและปิดเท่ากัน แสดงว่าทั้งสองฝั่งมีแรงเท่า ๆ กัน**2) การตรวจสอบแนวโน้มราคา:**- ถ้าราคาสร้างจุดสูงใหม่เรื่อย ๆ = อุปสงค์แข็งแรง ราคาจะปรับขึ้นต่อ- ถ้าราคาสร้างจุดต่ำใหม่เรื่อย ๆ = อุปทานแข็งแรง ราคาจะปรับลงต่อ- ถ้าราคาแกว่งในกรอบ = ทั้งสองฝั่งอำนาจเท่า ๆ กัน**3) การหาแนวรับแนวต้าน:**- **แนวรับ:** จุดที่มีอุปสงค์รอซื้อ ราคาลงมาถึงจุดนี้มักจะกลับตัวขึ้น- **แนวต้าน:** จุดที่มีอุปทานรอขาย ราคาขึ้นมาถึงจุดนี้มักจะกลับตัวลง## การใช้ Demand Supply Zone ในการเทรดเทคนิค Demand Supply Zone เป็นการรวมกันของการตรวจสอบแนวโน้มราคากับการหาพื้นที่ที่เกิดการไม่สมดุล### ตัวอย่าง 1: การกลับตัวแบบ Demand Zone Drop Base Rally (DBR)1. ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop) เนื่องจากอุปทานแข็งแรง2. ราคาเริ่มพักตัว ทำให้เกิดกรอบการซื้อขาย (Base) เมื่อแรงขายชะลอและแรงซื้อเริ่มมาก3. เมื่อข่าวดีหรือปัจจัยบวกเข้ามา แรงซื้อเหนือแรงขาย ราคาทะลุกรอบบนแล้ววิ่งขึ้น (Rally)4. นักเทรดสามารถเข้ารายการซื้อที่จุดทะลุกรอบ พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน### ตัวอย่าง 2: การกลับตัวแบบ Supply Zone Rally Base Drop (RBD)1. ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally) เนื่องจากอุปสงค์แข็งแรง2. ราคาเริ่มพักตัวในกรอบ (Base) เมื่อแรงซื้อชะลอและแรงขายเริ่มมา3. เมื่อข่าวร้ายหรือปัจจัยลบเข้ามา แรงขายเหนือแรงซื้อ ราคาทะลุกรอบล่างแล้วดิ่งลง (Drop)4. นักเทรดสามารถเข้ารายการขายที่จุดทะลุกรอบล่าง พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน## การเทรดตามแนวโน้มต่อเนื่องนอกจากการตรวจหาการกลับตัวแล้ว Demand Supply Zone ยังสามารถใช้เพื่อจับจังหวะของการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มต่อเนื่อง:**ในแนวโน้มขาขึ้น (Rally Base Rally):**ราคาวิ่งขึ้น → พักตัวในกรอบ → ยาวไปวิ่งขึ้นต่ออีกรอบ นักเทรดสามารถรอเข้ารายการซื้อที่จุดทะลุแนวต้านของกรอบ**ในแนวโน้มขาลง (Drop Base Drop):**ราคาดิ่งลง → พักตัวในกรอบ → ยาวไปดิ่งลงต่ออีกรอบ นักเทรดสามารถรอเข้ารายการขายที่จุดทะลุแนวรับของกรอบ## ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์ในตลาดการเงิน- **สภาพเศรษฐกิจมหภาค**: การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อจำนวนนักลงทุนและปริมาณเงินลงทุน- **สภาพคล่องในตลาด**: ปริมาณเงินที่ไหลเข้าตลาดโดยตรง ส่งผลต่อความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง- **ความเชื่อมั่นของนักลงทุน**: การคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัท ส่งผลต่อสิ่งที่นักลงทุนต้องการซื้อ## ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปทานในตลาดการเงิน- **นโยบายของบริษัท**: การตัดสินใจเพิ่มทุนหรือซื้อหุ้นคืนเปลี่ยนแปลงปริมาณหุ้นในตลาด- **การเข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO)**: บริษัทใหม่เข้ามาเพิ่มอุปทานหลักทรัพย์- **กฎระเบียบ**: ข้อบังคับเกี่ยวกับการขายหุ้นและการถือครองมีผลต่ออุปทาน## สรุป**อุปสงค์ หมายถึง** ความต้องการซื้อ และ **อุปทาน** ก็หมายถึงความต้องการขาย ทั้งสองเป็นแรงพื้นฐานที่ผลักดันการเคลื่อนไหวของราคาสำหรับนักลงทุนและนักเทรด ความเข้าใจในหลักการนี้ช่วยให้สามารถ:- คาดการณ์ทิศทางราคาได้ดีขึ้น- หาจังหวะเข้าและออกที่เหมาะสม- จัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพการนำแนวคิดนี้มาใช้ต้องเสมอได้จากการศึกษาและทดลองบนแผนภูมิราคาจริงอย่างหมั่นเพียร เพื่อให้เห็นว่าแรงอุปสงค์และอุปทานทำงานอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
فهم العرض والطلب: المفتاح الرئيسي لتوقع أسعار الأصول
อุปสงค์ หมายถึงอะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อการวิเคราะห์ตลาด
ในวิชาเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ เมื่อนำข้อมูลนี้มาพล็อตในแผนภูมิ จะได้เส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณ เรียกว่า เส้นอุปสงค์
ลักษณะที่สำคัญของอุปสงค์:
เหตุใดราคาและอุปสงค์จึงมีความสัมพันธ์ผกผัน
เมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง มีสองกลไกที่ทำให้ความต้องการซื้อเปลี่ยนไปด้วย
ผลทางรายได้ (Income Effect): เมื่อราคาลดลง ผู้บริโภคจึงมีเงินเหลือมากขึ้นจากการซื้อสินค้า ส่งให้สามารถซื้อสินค้าได้มากกว่าเดิม
ผลทางการทดแทน (Substitution Effect): เมื่อราคาสินค้าลดลง มันจึงดูดีกว่าสินค้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน ทำให้ผู้คนเปลี่ยนจากสินค้าอื่นมาซื้อสินค้านี้
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุปสงค์
นอกจากราคาแล้ว ปัจจัยต่างไปนี้ก็ส่งผลต่อความต้องการซื้อ:
อุปทาน (Supply): ด้านตรงกันข้าม
อุปทาน หมายถึง ความต้องการขายสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ เมื่อนำมาพล็อตจะได้เส้นอุปทาน ซึ่งสะท้อนปริมาณสินค้าที่ผู้ขายเต็มใจเสนอขาย
ลักษณะที่สำคัญของอุปทาน:
กฎของอุปทาน: ทำไมผู้ขายจึงมักมี “ความต้องการขายที่เพิ่มขึ้น” เมื่อราคาสูงขึ้น
เหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน - ราคาที่สูงขึ้นหมายถึงกำไรที่มากขึ้น ผู้ผลิตจึงเต็มใจที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต และผู้ขายเพิ่มเติมก็เข้ามาในตลาด
ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาต่ำลง ผู้ผลิตบางรายอาจตัดสินใจลดปริมาณการผลิต หรือออกจากตลาดทั้งหมด
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุปทาน
ดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium): เมื่ออุปสงค์และอุปทานมาบรรจบกัน
ราคาจริงที่เกิดขึ้นในตลาดไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์เพียงอย่างเดียว หรืออุปทานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นที่จุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน เรียกว่า ดุลยภาพ
ที่จุดดุลยภาพนี้:
ทำไมตลาดจึงทำงานเพื่อกลับสู่จุดดุลยภาพ
หากราคาเพิ่มสูงจากดุลยภาพ:
หากราคาลดลงจากดุลยภาพ:
การประยุกต์ใช้หลักอุปสงค์ และอุปทาน ในตลาดการเงิน
หุ้นถือเป็นสินค้า ดังนั้นหลักการอุปสงค์และอุปทานจึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้นได้
อุปสงค์และอุปทาน ในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน
จากมุมมองการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ราคาหุ้นมักสะท้อนความคาดหวังเกี่ยวกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท
อุปสงค์และอุปทาน ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค
นักเทรดใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทาน:
1) การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candle Analysis):
2) การตรวจสอบแนวโน้มราคา:
3) การหาแนวรับแนวต้าน:
การใช้ Demand Supply Zone ในการเทรด
เทคนิค Demand Supply Zone เป็นการรวมกันของการตรวจสอบแนวโน้มราคากับการหาพื้นที่ที่เกิดการไม่สมดุล
ตัวอย่าง 1: การกลับตัวแบบ Demand Zone Drop Base Rally (DBR)
ตัวอย่าง 2: การกลับตัวแบบ Supply Zone Rally Base Drop (RBD)
การเทรดตามแนวโน้มต่อเนื่อง
นอกจากการตรวจหาการกลับตัวแล้ว Demand Supply Zone ยังสามารถใช้เพื่อจับจังหวะของการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มต่อเนื่อง:
ในแนวโน้มขาขึ้น (Rally Base Rally): ราคาวิ่งขึ้น → พักตัวในกรอบ → ยาวไปวิ่งขึ้นต่ออีกรอบ นักเทรดสามารถรอเข้ารายการซื้อที่จุดทะลุแนวต้านของกรอบ
ในแนวโน้มขาลง (Drop Base Drop): ราคาดิ่งลง → พักตัวในกรอบ → ยาวไปดิ่งลงต่ออีกรอบ นักเทรดสามารถรอเข้ารายการขายที่จุดทะลุแนวรับของกรอบ
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์ในตลาดการเงิน
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปทานในตลาดการเงิน
สรุป
อุปสงค์ หมายถึง ความต้องการซื้อ และ อุปทาน ก็หมายถึงความต้องการขาย ทั้งสองเป็นแรงพื้นฐานที่ผลักดันการเคลื่อนไหวของราคา
สำหรับนักลงทุนและนักเทรด ความเข้าใจในหลักการนี้ช่วยให้สามารถ:
การนำแนวคิดนี้มาใช้ต้องเสมอได้จากการศึกษาและทดลองบนแผนภูมิราคาจริงอย่างหมั่นเพียร เพื่อให้เห็นว่าแรงอุปสงค์และอุปทานทำงานอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเป็นจริง